คู่มือการใช้งาน
โดเมน
Control Panel
เวปไซต์
อีเมล
โดเมน
whois
แสดงรายละเอียดของเจ้าของโดเมน เช่น ชื่อ ที่อยู่ อีเมล ตรวจสอบ
whois ได้ที่ www.brinkstudio.com คลิก Whois
โดเมนที่จดใหม่ จะปรากฎอีเมลของผู้ติดต่อไว้ให้เป็น
whois@<yourdomain> (<yourdomain> คือ ชื่อโดเมนของท่าน)
ซึ่งเป็นอีเมลที่ยังไม่ได้สร้างไว้
แต่ท่านสามารถสร้างขึ้นด้วยตนเองได้ในภายหลัง
สาเหตุที่ต้องเป็นอีเมลที่ไม่มีตัวตน เพราะอีเมลนี้จะปรากฎในที่สาธารณะ
ซึ่งนักส่งเมล์ขยะ สามารถค้นพบชื่ออีเมลนี้จาก whois
แล้วส่งเมล์ขยะมาให้ ท่านจึงไม่ควรเปลี่ยนเป็นอีเมลที่มีตัวตน
หรือถ้าต้องการเปลี่ยนเป็นอีเมลอื่น ควรหลีกเลี่ยงอีเมลฟรี เพราะ อีเมลฟรีไม่มีความช่วยเหลือในกรณีที่ อีเมลของท่านถูกตัดบริการ
หรือมีปัญหาเกิดขึ้น ท่านจะไม่มีวิธีแก้ไขเลย
ต่างจากอีเมลภายใต้โดเมนที่ท่านถือครองอยู่
ที่ท่านสามารถขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลระบบที่ท่านฝาก host อยู่
หรือหากผู้ืดูแลระบบไม่ช่วยเหลือ ท่านยังสามารถย้ายไปใช้ host
ที่อื่นได้
ข้อมูลที่ปรากฎใน whois เป็นข้อมูลย้อนหลัง ไม่ใช่ข้อมูลในปัจจุบัน
ยังบอกไม่ได้ว่าโดเมนว่างหรือไม่ สามารถจดทะเบียนได้หรือไม่ เพราะ
ข้อมูลโดเมนที่แท้จริงจะถูกเก็บไว้ที่ Registry ในขณะที่ whois
จะเปลี่ยนแปลงช้ากว่า Registry หลายวัน
การจะตรวจสอบว่าโดเมนว่างหรือไม่ในเวลานั้น
ต้องเข้าไปที่ www.brinkstudio.com คลิก "ตรวจสอบชื่อ"
ความเป็นเจ้าของ
.com .net .org และโดเมนสากลอื่นๆ เจ้าของคือ ผู้ที่ถือรหัสผ่านแก้ไขโดเมน
ท่านจึงไม่ควรให้รหัสผ่านนี้แก่ผู้ใด
แต่สำหรับ .th ที่ต้องใช้หลักฐานตอนสมัคร เจ้าของคือหน่วยงาน ที่ยื่นเอกสาร
หมดอายุ
โดเมนจะถือเป็นสิทธิของเจ้าของ จนกระทั่งถึงวันหมดอายุ
ตรวจสอบวันหมดอายุได้จากสองแห่งคือ Whois http://whois.brinkstudio.com/
และ Control Panel
http://home.<yourdomain>
การต่ออายุก่อนวันที่โดเมนหมดอาุยุ สามารถทำได้ตลอดเวลา และ
การต่ออายุในช่วงนี้จะใช้งานต่อเนื่องได้ไม่สะดุด
จำนวนปีมากที่สุดที่ต่ออายุได้คือไม่เกิน 10
ปี นับจากปัจจุบัน
โดเมนที่หมดอายุแล้ว จะปรากฎใน whois ในส่วนบนซึ่งเป็นของ internic
ว่าขยายเวลาหมดอายุไปอีก 1 ปี แต่ข้อมูลตรงนั้นเชื่อถือไม่ได้ ต้องดู
whois ของ Registrar ในส่วนล่าง ซึ่งเป็นข้อมูลที่แท้จริง
โดเมนที่หมดอายุแล้ว
จะัยังไม่สามารถย้ายไปต่ออายุที่อื่นได้
ต้องต่ออายุที่ผู้รับจดโดเมนรายเดิมก่อน
โดเมนที่หมดอายุและได้รับการต่ออายุใหม่
ข้อมูลเดิมทั้งในส่วนของเวปไซต์และอีเมลจะไม่หายไปไหน
ท่านจะกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมทุกอย่าง
โดยไม่มีเนื้อหาส่วนใดถูกแก้ไขหรือบิดเบือนไป
แต่ถ้าโดเมนหมดอายุไปเป็นเวลานานเกินหนึ่งปี ข้อมูลอาจถูกลบทิ้ง
ขอให้ท่านติดต่อทางบริ๊งเพื่อขอกู้ข้อมูลสำรองกลับคืนมา
โดเมนที่หมดอายุแล้ว จะมีสภาพดังนี้
- หลังจากวันหมดอายุ จะใช้งานเวปไซต์และอีเมลต่อไปได้อีก 12 ชม
หลังจากนั้นจะเรียกไม่พบ เนื่องจากถูกตัด dns เหตุที่ล่าช้า 12
ชมเนื่องจาก วันที่ที่ปรากฎใน whois เป็นวันที่ในต่างประเทศ
ซึ่งช้ากว่าเมืองไทย การต่ออายุในช่วงนี้ หรือก่อนหน้านี้
จะใช้งานได้ปกติโดยไม่ติดขัด
- หลังจากวันหมดอายุ 40 วัน รอให้เจ้าของโดเมนมาต่ออายุ
โดเมนจะถูกตัด dns ทำให้หาเวปไซต์อีเมลไม่พบ
การต่ออายุในช่วงนี้จะเสียค่าใช้จ่ายในราคาปกติ
โดเมนหมดอายุในช่วงนี้ แล้วได้รับแจ้งต่ออายุใหม่ จะต้องรอไม่เกิน 3
ชมเพื่อให้สามารถใช้งานได้ปกติ ที่จริงแล้วใช้งานได้ทันทีหลังจากต่ออายุ
แต่เวลา 3 ชมนี้คือ เวลาที่ข้อมูลเก่าของ dns
ที่ค้างอยู่ฝั่งผู้ให้บริการต่างๆทั่วโลก หมดอายุไม่พร้อมกัน
- วันที่ 40-70 โดเมนจะหลุดออกจากความรับผิดชอบของทางบริ๊ง
ไปลอยอยู่ในอินเตอร์เน็ตส่วนกลางที่เรียกว่า Registry
เป็นเวลาอีก 45 วัน เรียกว่าช่วง Redemption Period การต่ออายุในช่วงนี้
จะต้องเสียค่าดึงโดเมนกลับมาจาก Registry ด้วย ค่าใช้จ่ายทั้งหมดคือ
ค่าต่ออายุปกติ บวกกับค่าปรับเพื่อดึงโดเมนจาก Registry 3000 บาท
และในช่วงดึงโดเมนกลับมา โดเมนจะถูกต่ออายุไปด้วย ใช้เวลา 3-7
วันจะสามารถใช้้งานได้ตามปกติ
- วันที่ 70-75 จะะเข้าสู่ช่วง Delete Domain ช่วงนี้จะไม่สามารถต่ออายุได้แล้ว
- โดเมนจะว่าง สามารถจดทะเบียนใหม่ได้
แต่ในปัจจุบันมีตลาดโดเมนมือสอง ซึ่งจะมีผู้รับจดโดเมนหลายราย
มาคอยแย่งจดโดเมนที่หลุดออกมาเพื่อจดเก็บไว้ทำเวปไซต์โฆษณาและเก็งกำไร
ดังนั้น
ถึงแม้ว่าจะรอให้โดเมนว่าง แต่โอกาสที่จะจดใหม่ได้มีน้อยมาก
โดยเฉพาะชื่อที่น่าสนใจซึ่งได้แก่ชื่อโดเมนสั้นๆ สะกดเพียง 2-3 คำ
หรือประกอบด้วยคำที่มีความหมายในดิกชันนารี มักจะถูกแย่งจดไปเก็งกำไรอีก 1
ปี สำหรับชื่อโดเมนที่ไม่น่าสนใจจริงๆ
อาจถูกจดแล้วปล่อยออกมาได้อีกหลังจากผ่านไป 7 วัน
หากผู้ที่มาจดเก็งกำไรเห็นว่าไม่มีใครมาติดต่อขอซื้อ
แก้ไขโดเมน
เข้าไปที่ www.brinkstudio.com คลิก แก้ไขโดเมน
รหัสผ่านอยู่ในอีเมลฉบับแรก
ในจำนวนทั้งหมดสองฉบับที่ท่านได้รับ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เปิดใช้งาน
หรือหากเปลี่ยนรหัสผ่านไปแล้วลืม เพียงท่านใส่รหัสผ่านผิด
หน้าถัดมาจะให้กดส่งรหัสผ่านใหม่ไปที่
admin โดยดูอีเมลของ admin ได้จาก Whois http://whois.brinkstudio.com/
ภายใต้หัวข้อ Administrative
Contact
สำหรับท่านที่ลืมทั้งรหัสผ่าน และ อีเมล Administative Contact
ใช้งานไม่ได้ด้วย ขั้นแรก ควรพยายามทุกวิถีทางให้ได้รหัสผ่าน เช่น
สอบถามจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ว่าใครเป็นคนเปลี่ยนรหัสผ่านไป หรือ
พยายามทำให้อีเมลใช้งานได้ ถ้าไม่ได้จริงๆ ท่านจะพบปัญหาหนัก
โปรดติดต่อทางบริ๊ง เพื่อทำเรื่องขอเปลี่ยนอีเมล
Administrative Contact ซึ่งต้องใช้เอกสารยืนยันตัวตนหลายชิ้น
การทำเรื่องเปลี่ยนอีเมลใช้เวลา 3-7 วัน
เมื่อเข้าสู่ระบบได้แล้ว ให้คลิกตาม link ต่างๆเพื่อแก้ไข
หลังจากแก้ไขแล้วจะเปลี่ยนทันที ตรวจสอบผลได้จาก whois
Profile แก้ไข Username และ Password คลิก Change Password เปลี่ยน
Password อย่างเดียว โดยไม่เปลี่ยน Username หากท่านมีหลายโดเมน
สามารถรวมหรือแยกโดเมนได้ คลิก Change Ownership of
Domain
- รวมโดเมน ใส่ Username และ Password ของโดเมนที่ต้องการจะเข้าไปร่วม
เลือกในช่องหน้า Move to existing profile
และใส่ชื่อโดเมนที่ต้องการเข้าร่วมในช่อง Previously
registered domain
- แยกโดเมน หรือเปลี่ยน
Username ให้ใส่ Username และ Password ใหม่โดยไม่ต้องเลือกที่ใดเพิ่มเติม
Organization Contact คือเจ้าของโดเมน อีเมลจะไม่ปรากฎใน whois
แต่สามารถใช้สำหรับส่งข้อมูลเกี่ยวกับโดเมนเช่น Password
จึงควรใช้อีเมลที่มีตัวตน
Admin Contact อีเมลจะปรากฎใน whois
สามารถดำเนินการเกี่ยวกับโดเมนได้ทั้งหมด ตั้งแต่ใช้ส่ง Password
จนถึงย้ายโดเมน
Billing/Technical Contact อีเมลจะปรากฎใน whois
และไม่มีหน้าที่ใดๆที่ชัดเจน
Name Servers จะใช้เฉพาะกรณีที่ท่านต้องการย้ายพื้นที่ทั้งหมด
ทั้งอีเมลและเวปไซต์ไปใช้ที่อื่น การเปลี่ยน Name Servers จะใช้เวลา 3-4
วัน ข้อควรระวังคือ
- Name Servers ไม่ใช่ DNS หากท่านต้องการเพียงชี้ Subdomain
ชื่อหนึ่งไปยัง IP ที่ต้องการ เช่น หากท่านต้องการเพียง
ชี้เวปไซต์หรืออีเมลอย่างใดอย่างหนึ่งไปใช้งานที่อื่น ให้แจ้งทางบริ๊ง
เพื่อดำเนินการแก้ไขให้ที่ DNS Server แทน เพราะการสร้าง Subdomain
ไว้ในที่นี้ จะถูกเก็บไว้ที่ root servers แล้วจะทำให้เกิดสัีบสนกับ DNS
Server ในภายหลัง คือ บางครั้งจะมีการเรียกจาก Registry
บางครั้งจะมีการเรียกจาก DNS Server ขึ้นอยู่กับว่า cache
ที่ใดจะหมดอายุก่อนกัน
- การเรียก Name Servers เป็นการเรียกแบบสุ่ม
ไม่ใช่แบบเรียงลำดับตามที่หลายคนเข้าใจ ดังนั้น Name Servers
ทุกชื่อที่อยู่ในหน้านี้ จะต้องทำงานร่วมกัน อย่าใส่ Name Server
สองแห่งที่ไม่เชื่อมโยงถึงกันไว้ด้วยกัน มิฉะนั้น
อาจเกิดการหลงทางขึ้นในภายหลัง เช่น เรียกในช่วงเวลาหรือสถานที่ต่างกันจะปรากฎหน้าโฮมเพจต่างกัน
- อย่าใช้
Name Server ภายใต้โดเมนของตนเอง เพราะ name server
นี้จะไปเก็บไว้ที่ root servers ที่ตั้งอยู่ส่วนกลางของอินเตอร์เน็ต
ถึงแม้ว่าในการเรียกครั้งแรกจะเรียกจาก root server แล้วส่งต่อมาเรียกจาก
dns server ปลายทางที่เก็บข้อมูลทั้งหมดของโดเมนนี้ เช่น หากสร้าง Name
Server ไว้เป็น ns1.yourdomain หมายเลข IP w.x.y.z คำว่า dns server
ก็คือเครื่องที่ตั้งอยู่หมายเลข IP นั้น แต่เมื่อใดก็ตามที่ cache จาก
root server หมดอายุ แล้ว cache ของ subdomain หมดอายุ แต่
cache จาก dns server ยังอยู่ การหา IP ของ subdomain ครั้งต่อไปจะใช้
cache จาก dns server ไม่ไปเรียกใหม่จาก root servers ถ้าค่าไม่ได้ตั้งไว้
จะทำให้หาปลายทางไม่พบหรือหลงทาง เหตุผลเดียวที่จะใช้ name server
ภายใต้โดเมนของตนเองคือ
ท่านนำโดเมนของลูกค้าหลายๆโดเมนและไม่ต้องการให้รู้ว่าแต่ละโดเมนใช้ name
server ของคนอื่น กรณีนี้ให้ติดต่อทางบริ๊งเพื่อตั้งค่าไว้ใน dns server
ให้ตรงกับค่าใน root server
ยกเลิกโดเมน
ไม่มีวิธียกเลิกหรือลบโดเมนทิ้ง โดเมนที่ไม่ต้องการใช้แล้ว
ต้องปล่อยให้หมดอายุไปเอง แต่สำหรับโดเมนที่ต้องการใช้งานอยู่
ไม่ควรปล่อยให้หมดอายุ แล้วจดทะเบียนใหม่
เพราะจะมีโอกาสน้อยมากที่โดเมนนั้นจะว่าง
เนื่องจากปัจจุบันมีตลาดโดเมนมือสอง คอยจ้องจดโดเมนที่หมดอายุเก็บไว้ขาย
Control Panel
Control Panel สำหรับจัดการเวปไซต์หรืออีเมล เข้าไปที่
http://home.<yourdomain> (<yourdomain>
แทนชื่อโดเมนของท่าน) รหัสผ่านจะส่งไปทางอีเมลหนึ่งในสองฉบับ
ตั้งแต่เริ่มเปิดใช้งาน
หากท่านลืมรหัสผ่านหรือทำอีเมลฉบับนั้นหายไป
ท่านสามารถแจ้งให้ทางบริ๊งส่งไปให้ใหม่ ที่อีเมลเดิมที่เคยส่งไป
ถ้าอีเมลเดิมเลิกใช้แล้ว ท่านสามารถแจ้งรหัสผ่านเดิมมาให้ทางบริ๊งตรวจสอบ
หากตรงกันทางบริ๊งจะส่งวิธีการใช้งานไปที่อีเมลใหม่
แต่ถ้าลืมรหัสผ่านและ อีเมลเดิมใช้งานไม่ได้ด้วย
ต้องใช้หลักฐานยืนยันชื่อของท่าน ให้ตรงกับชื่อที่สมัครมาครั้งแรก
หรือ ตรงกับชื่อที่ปรากฎบนหน้าเวปไซต์ ได้แก่ หนังสือรับรองบริษัท หรือ
สำเนาบัตรประชาชน
ส่งสำเนาเอกสารมาทางอีเมลหรือแฟกซ์ เพื่อให้ทางบริ๊งตรวจสอบ
หากพบว่าตรงกัน ทางบริ๊งจะพยายามติดต่อกับผู้ดูแลคนเดิมเพื่อขอคำยืนยัน
ก่อนส่ง password
ไปให้ท่านที่อีเมลใหม่
Contact
ชื่อและอีเมลที่ทางบริ๊งติดต่อด้วย กรณีที่ท่านเปลี่ยนอีเมล
ควรเข้ามาแก้ไขอีเมลในหน้านี้ด้วย
ทางบริ๊งจะไม่ส่งข้อมูลให้ชื่อหรืออีเมลอื่นใดนอกหนือจากที่บันทึกไว้ในหน้านี้
รายละเอียดการติดต่อในหน้านี้ จะใ้ช้ในเรื่องที่เกี่ยวกับพื้นที่เท่านั้น
เช่น แจ้งวันหมดอายุ ส่งรหัสผ่านเข้า Control Panel ฯลฯ
ไม่เกี่ยวข้องกับ Whois ซึ่งต้องเข้าไปแก้ไขโดเมน หรือ
ใบเสร็จรับเงินซึ่งต้องรบกวนท่านแจ้งทางบริ๊งแยกต่างหาก
เวปไซต์
เริ่มทำเวปไซต์
สำหรับท่านที่ไม่เคยทำเวปไซต์มาก่อน
แนะนำให้จ้างคนรับเขียนเวปไซต์จะช่วยประหยัดเวลาได้มาก
แต่ควรระวังผู้รับทำเวปไซต์บางรายนิสัยไม่ดี ทำไม่เสร็จ หรือ
ทอดทิ้งลุกค้าเมื่อทำเสร็จแล้ว หรือที่เลวร้ายกว่านั้นคือ
เข้าไปลบข้อมูลเมื่อขัดใจกัน ฯลฯ ผู้รับทำเวปไซต์ที่มีความรับผิดชอบ
จะรับเปลี่ยนแปลงเนื้อหาให้ด้วย
ภายในระยะเวลาที่ตกลงกันเช่น 1 ปี
วิธีหาผู้รับทำเวปไซต์ที่มีความรับผิดชอบคือ
ไม่ควรไปหาด้วยตนเองในอินเตอร์เน็ต ควรสอบถามจากคนรู้จัก
และต้องเป็นคนที่เคยจ้างคนนั้นทำเวปไซต์มาก่อน
อย่าไปถามคนที่ไม่มีประสบการณ์เป็นอันขาด
วิธีดูคนทำเวปไซต์มืออาชีพหรือคนที่รู้จริงคือ
เขาสามารถทำงานได้กับโฮสต์ทุกที่
ในขณะที่ผู้รับทำมือสมัครเล่นหรือคนที่ไม่รู้จริง
มักจะขอให้ท่านย้ายไปใช้พื้นที่ที่เขามีอยู่
โดยอ้างเหตุผลเรื่องความเคยชินเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปเริ่มต้นศึกษาใหม่
ในความเป็นจริงแล้วคนที่รู้จริงไม่ต้องไปเริ่มต้นศึกษาใหม่
มีแต่คนไม่รู้จริงเท่านั้นที่มีความรู้อยู่ในวงจำกัด
เวปไซต์ที่สร้างจากมือสมัครเล่น มักจะมีปัญหาและจุดโหว่ตามมาภายหลัง
นอกจากนี้ ท่านจะต้องไปใช้โฮสต์ที่ไม่รู้ว่าคุณภาพเป็นอย่างไร
ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่า คนทำเวปไซต์มักจะไม่ถนัดเรื่องทางเทคนิค
ส่วนใหญ่จึงมักจะพาท่านไปใช้โฮสต์คุณภาพต่ำ ไม่มีระบบป้องกันความผิดพลาด
หากท่านหาคนทำเวปไซต์ไม่ได้
ท่านสามารถสอบถามมาทางบริ๊ง ให้ส่งรายชื่อผู้รับทำเวปไซต์ที่รู้ัจัก
และเชื่อถือได้ไปให้ท่านติดต่อกันเอง
หากจำเป็นต้องทำเวปไซต์แบบโต้ตอบ เช่น กรอกข้อความส่งไปทางอีเมล shopping
cart ฯลฯ ไม่ควรจ้างคนเขียนโปรแกรมขึ้นมาใหม่
แต่ควรขอให้คนทำเวปไซต์หาโปรแกรมสำเร็จรูปที่มีอยู่แล้วมาดัดแปลง
เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า คนไทยเขียนโปรแกรมไม่ค่อยเก่ง และ
หากในอนาคตท่านต้องเปลียนคนเขียน จะไม่มีใครอยากทำความเข้าใจ
โปรแกรมที่คนอื่นเขียนไว้อย่างไม่ได้มาตรฐาน
แต่ถ้าท่านใช้โปรแกรมสำเร็จรูป คนทำเวปคนใหม่ สามารถมาแก้ไขต่อได้
โดยอ่านคู่มือของโปรแกรมนั้น แต่ข้อเสียของโปรแกรมสำเร็จรูปคือ
บางตัวเขียนมาไม่ดี มีจุดโหว่
ท่านจึงต้องชั่งน้ำหนักให้ดีระหว่างเขียนเองกับใช้โปรแกรมสำเร็จรูป
ถ้าคนทำเวปไซต์เก่ง มีประสบการณ์สูง เขียนใหม่จะดีที่สุด
แตถ้าคนทำมีประสบการณ์น้อย ใช้วิธีไหนก็มีจุดโหว่เหมือนกัน
สำหรับท่านที่ต้องการศึกษาวิธีการทำเวปไซต์ด้วยตนเอง
แนะนำให้ดาวน์โหลดโปรแกรม Seamonkey ฟรี ซึ่งเมื่อติดตั้งเรียบร้อยแล้ว
จะมีโปรแกรม Composer ติดมาด้วย โปรแกรมตัวนี้จะใช้สร้างเอกสาร html
มีข้อดีคือ
เปิดได้เร็วและใช้งานง่าย
แต่สำหรับผู้รับทำเวปไซต์มืออาชีพนิยมใช้โปรแกรมที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่น
Dreamweaver ซึ่งต้องไปหาซื้อ
ข้อควรปฎิบัติในการตั้งชื่อไฟล์คือ
- ใช้อักษรภาษาอังกฤษ กับ ตัวเลข 1-9 เท่านั้น
หลีกเลี่ยงภาษาไทยและอักษรประหลาดพวกเครื่องหมายต่างๆ
- ชื่อไฟล์เป็นอักษรตัวเล็กทั้งหมดคือ a-z
อย่าใช้อักษรตัวเล็กสลับกับตัวใหญ่คือ A-Z เพราะจะทำให้เกิดความสับสนตามมา
เนื่องจาก A ตัวใหญ่ กับ a ตัวเล็ก บน Microsoft Windows
จะถือว่าเป็นตัวเดียวกัน แต่บน Unix ที่เก็บเวปไซต์ของท่าน
จะถือว่าเป็นคนละตัวกัน
- ใช้ _ แทนช่องว่าง เพราะช่องว่างจะสร้างปัญหาให้กับทุกที่ ตั้งแต่บนระบบปฎิบัติการ จนถึง ที่อยู่ของ url ในอินเตอร์เน็ต
- ถ้าเป็นชื่อย่อ ควรจะมีอยู่ในดิกชันนารี เพื่อคนอื่นจะเข้าใจได้
หน้าแรกของเวปไซต์ชื่อ index.html
(สังเกตุว่าชื่อไฟล์เป็นอักษรตัวเล็กทั้งหมด) เป็นมาตรฐานเหมือนกันทั่วโลก
สำหรับผู้ที่ชำนาญแล้วอาจใช้นามสกุลอื่นเช่น .php ได้ ถ้ามี index.html
กับ index.php อยู่ร่วมกัน เมื่อใช้งานที่บริ๊ง index.php จะถูกเรียกก่อน
เวปไซต์สามารถใส่ไฟล์ได้ทุกนามสกุล ยกเว้น .php
ซึ่งจะประมวลผลบนเครื่องแม่ข่าย
ส่วนไฟล์นามสกุลอื่นจะประมวลผลบนเครื่องผู้เข้าชมหรือดาวน์โหลด
ขึ้นอยู่กับเครื่องผู้ชมมีโปรแกรมอ่านไฟล์นามสกุลนี้หรือไม่
เช่นไฟล์นามสกุล .pdf จะเปิดดูได้ด้วย Adobe Acrobat
แต่ถ้าเครื่องผู้ชมไม่มีโปรแกรมใดที่รู้จักไฟล์นามสกุลนี้
จะกลายเป็นหน้าต่างให้ดาวน์โหลดแทน
สถิติผู้เข้าชม
สถิติผู้เข้าชมดูุได้ืจากใน Control Panel http://home.<yourdomain>
คลิก Website Statistics เป็นข้อมูลที่บันทึกจาก web server
โดยอัตโนมัติทุกครั้งที่มีผู้เข้าชมเวปไซต์ของท่าน แล้วนำมาประมวลผลรายวัน
คำอธิบายความหมายของแต่ละช่องอยู่ที่ Quick Help
ทางขวามือด้านล่างของหน้านั้น ท่านไม่จำเป็นต้องติดตั้ง counter
บนหน้าโฮมเพจเพื่อแสดงจำนวนผู้เข้าชม
เพราะนอกจากจะทำให้เวปไซต์ของท่านช้าลงแล้ว
ยังเชื่อถือได้น้อยกว่าสถิติที่เก็บบันทึกจาก web server โดยตรง
FTP
สร้างและแก้ไขผู้ใช้ เข้าไปที่ Control Panel
http://home.<yourdomain> คลิกที่ File Transfer ด้านซ้าย
- สร้าง FTP User ชื่อใหม่ ให้ใส่ User Name แล้วกดปุ่ม Add
- ลบ FTP User ให้เลือกหน้า User Name ที่ต้องการลบแล้วกดปุ่ม Delete
- แก้ไข FTP User เช่น เปลี่ยน Password , เปลี่ยน Limit
ฯลฯให้เลือกหน้า
User Name ที่ต้องการแก้ไข แล้วกดปุ่ม Edit
FTP ใช้ส่งข้อมูลขึ้นไปเก็บไว้บนเวปไซต์ที่เรียกว่า upload
ซึ่งสำหรับมือใหม่
ที่ต้องการความง่าย
แนะนำให้ใช้โปรแกรม Windows Explorer (ไม่ใช่ Internet Explorer)
วิธีง่ายๆคือบน Microsoft Windows เข้าไปที่หน้าต่าง My Computer พิมพ์
ftp.<yourdomain> ลงในช่อง
Address ดูตัวอย่าง แต่ข้อเสียของการใช้ Windows Explorer ทำการ upload คือ
เมื่อเกิดปัญหาจากการใช้งาน
จะไม่แสดงเหตุผลตอบกลับจาก server ดังนั้น สำหรับผู้ที่ใช้งานจนเคยชินแล้ว
แนะนำให้ใช้โปรแกรม FTP แท้ๆ เช่น ws_ftp ซึ่งจะมีหน้าต่าง log
บอกว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น
การใช้ FTP ประกอบด้วย 3 ค่าเท่านั้น คือ Host Name, User Name และ
Password
หากค่าทั้งสามถูกต้อง จะต้องใช้งานได้แน่นอน
Host Name: ftp.<yourdomain>
User Name และ Password ตรวจสอบ และแก้ไขได้จากใน Control Panel
http://home.<yourdomain>
ข้อควรระวังสำหรับพื้นที่ใหม่คือ User Name จะเป็นชื่อโดเมน
ไม่ใช่ชื่อที่ท่านสมัครมาครั้งแรก
เมื่อ Login ด้วยโปรแกรม FTP เช่น Windows Explorer หรือ
ws_ftp จะพบไฟล์ .ftpquota และโฟลเดอร์ชื่อ .stats หรือ เข้าทางเวป
weeble manager ที่ http://ftp.<yourdomain> จะพบไฟล์ .wfmrc
อยู่ด้วย ซึ่งไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่ขึ้นต้นด้วยจุดเหล่านี้
สร้างขึ้นโดยอัตโนมัติเพื่อใช้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งาน ไม่ควรลบทิ้ง
โปรแกรมบางตัวมีปุ่ม Publish เช่น Mozilla composer, Frontpage ให้ตั้งค่า
FTP Hostname: ftp://ftp.<yourdomain>
เขียนโปรแกรม
โฮมเพจที่สามารถโต้ตอบกับผู้ชมได้ เช่น กรอกแบบฟอร์ม
เขียนด้วยภาษาโปรแกรมเรียกว่า script
ซึ่งมีอยู่หลายภาษา ทั้งที่ทำงานบนเครื่องผู้เข้าชมเช่น Javascript
หรือทำงานบนเครื่องแม่ข่ายก่อน เช่น PHP แล้วจึงแสดงผลในรูปแบบ html
ออกทาง browser
ข้อเสียของ Javascript คือ มีคำสั่งจำกัดมาก มีหลายคำสั่งที่ browser
ของผู้เข้าชมไม่รองรับ
บางที browser รุ่นใหม่ แต่ต่างยี่ห้อกัน อย่างเช่น Internet Explorer กับ
Firefox ก็ยังใช้คำสั่งไม่เหมือนกัน ดังนั้น การใช้ Javascript
ควรใช้ให้น้อยที่สุด ใช้เฉพาะฟังก์ชั่นที่รองรับทุก browser เท่านั้น
ส่วนที่เหลือควรพึ่ง script ที่ฉลาดกว่านี้อย่างเช่น PHP
ข้อดี script ที่ทำงานบนแม่ข่าย อย่างเช่น PHP คือ
สามารถแสดงผลได้ตามต้องการ โดยไม่ขึ้นอยู่กับ browser นอกจากนี้ PHP
ยังมีคำสั่งให้เลือกใช้ได้มากมาย แต่ PHP ก็มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือ
การตอบโต้อาจไม่รวดเร็วทันใจ เหมือนอย่าง Javascript เช่น ถ้ากรอกแบบฟอร์ม
ก็ต้องกรอกจนหมดก่อนแล้วจึงกดปุ่ม submit จึงจะตรวจสอบข้อมูลได้
มี Javascript รุ่นใหม่อยู่แบบหนึ่งเรียกว่า Ajax ที่ทุก browser รองรับ
และ สามารถส่งคำสั่งไปประมวลผลต่อบนเครื่องแม่ข่ายด้วย PHP ได้ เท่ากับ
Ajax ช่วยขจัดข้อเสียของ PHP ไป จะเห็นได้ว่า Ajax กับ PHP
จึงเป็นคู่ที่เหมาะสมที่สุดในการเขียน script
ท่านไม่จำเป็นต้องรู้ทุกภาษา
เพราะทุกภาษาสามารถเขียนให้ทำงานได้ผลเหมือนกัน
เปรียบเสมือนมนุษย์แต่ละประเทศที่ใช้ภาษาต่างกัน
เพื่อสื่อความหมายสิ่งของชิ้นเดียวกัน หลักการเขียน server script คือ
ต้องรู้ระบบปฎิบัติการก่อน
แล้วจึงเลือกภาษาที่ทำงานเร็วที่สุดบนระบบปฎิบัติการนั้น เช่น
ถ้าต้องการเขียนโปรแกรมบน Windows ควรเลือก asp
หรือถ้าต้องการเขียนโปรแกรมบน Unix ควรเลือก PHP
สำหรับท่านที่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกระบบปฎิบัติการใด ขอแนะนำให้ใช้ Unix
เนื่องจากถึงแม้ว่า Windows
จะเหมาะสำหรับการใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล แต่ Unix
ออกแบบมาสำหรับใช้งานแบบแม่ข่าย ซอฟท์แวร์บน Unix
จึงมีเทคโนโลยีเหนือกว่าบน Windows มาก เช่น Regular Expression ใช้ทำ
subdomain อัตโนมัติ หรือ Compression ที่บน Windows จะบีีบได้เฉพาะหน้า
static page เท่านั้น เมื่อทำการบีบหน้า dynamic จะทำงานผิดเพี้ยนทันที
เวปไซต์ที่บริ๊งทำงานบน Unix และ รองรับภาษาที่ใช้ในการเขียน script
คือ PHP และ Perl เท่านั้น อ่านรายละเอียดได้ในหัวข้อต่อไป
ภาษาอื่นๆที่ทางบริ๊งไม่รองรับคือ
- jsp ภาษา java
เป็นเพียงการตลาดของบริษัท sun microsystems เท่านั้น
ถึงแม้ว่าข้อดีคือเป็นภาษาที่ทำงานได้กับทุกระบบผ่าน virtual machine
แต่ข้อเสียคือ ช้า ดังนั้น java จึงเหมาะสำหรับทำงานบนฝั่ง client เช่น
applet ส่วน jsp จะเร็วในเครื่องที่มีเวปไซต์เดียว
และมีการเรียกหน้าเดิมซ้ำๆ โดยแปลง(compile)
หน้านั้นใส่ไว้ในหน่วยความจำของเครื่อง
- asp และ asp.net คู่มือเขียน script ควรแนะนำว่า asp และ asp.net
ทำงานได้เฉพาะบน Microsoft Windows แต่ทางบริ๊งใช้ระบบ Unix
จึงไม่มีให้ใช้ และถึงแม้ว่าจะมี asp server ที่ทำงานบน Unix
ได้แต่ไม่ใช่ asp แท้ๆเหมือนบน Microsoft Windows
เพราะ asp บน Unix ยังมีปัญหาในเรื่องของความเสถียร และ
ใช้คำสั่งได้ไม่ครบ
ข้อบกพร่องของ asp คือเป็นภาษาโบราณ
ที่เกิดขึ้นมาในยุคแรกๆ การเขียน script หลายตัวต้องพึ่ง library
ส่วนกลางซึ่งติดตั้งโดยผู้ดูแลระบบ ผู้ใช้ไม่สามารถติดตั้งด้วยตนเองได้
ดังนั้น
ถ้า library ที่ต้องการใช้ ไม่มีอยู่บน host ผู้ใช้จะติดขัดทันที
ซึ่งผู้ดูแลระบบมีแนวโน้มที่จะไม่ติดตั้งให้ เพราะ dll library
ส่วนใหญ่ต้องเสียเงินซื้อ ข้อเสียอีกประการหนึ่งของ asp และ asp.net คือ
script ที่เขียนโดยบุคคลอื่น จะต้องเสียเงินซื้อเป็นส่วนใหญ่
- Ruby
on Rails เป็นภาษาที่ดูสั้นกะทัดรัด
แต่โครงสร้างแตกต่างไปจากภาษาเดิมในอดีตเช่น c, perl, php
ทำให้ผู้เขียนต้องมาศึกษากันใหม่ ยกตัวอย่างเช่น comment หลายบรรทัดใน
javascript,css และ php จะใช้เหมือนกันคือ /*...*/ แต่ใน Ruby on Rails
จะใช้เป็น =begin และ =end และปัญหาของ Ruby คือ เวลาเปลี่ยน version
มักจะมีการยกเลิกบางฟังก์ชันและ
ด้วยความสั้นกะทัดรัดนี้เองทำให้ขาดความยืดหยุ่นเมื่อนำไปใช้งานที่ซับซ้อน
เช่น เขียน script ติดต่อกับฐานข้อมูล หากไม่มีฟังก์ชันรองรับที่สมบูรณ์
จำเป็นต้อง rewrite หรือ hack บ่อยๆทำให้เสียเวลา
สำหรับท่านที่จ้างคนเขียน script แนะนำให้
บอกให้คนเขียนว่าอย่าเริ่มต้นจากศูนย์ คืออย่าเขียนขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
แต่ให้หาโปรแกรมสำเร็จรูปที่มีคุณภาพดีมาดัดแปลง เช่น หากต้องการทำ
webboard
ให้ใช้โปรแกรม phpBB หรือถ้าต้องการทำ shopping cart ให้ใช้โปรแกรม
oscommerce เป็นต้น เนื่องจากเป็นที่่ทราบกันดีว่า
คนไทยเขียนโปรแกรมไม่ค่อยเก่ง เพราะระบบการเรียนจะเน้นการท่องจำ
ไม่ได้เน้นวิธีคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล การเขียนใหม่ทั้งหมด
จะทำให้เกิดปัญหาตามมา
คือ มีความผิดพลาดในการใช้งาน หรือทำให้เครื่องแม่ข่ายรวน หรือ
หากต้องเปลี่ยนคนเขียน
คนเขียนใหม่จะไม่ต้องการแก้ไขภาษาที่คนเดิมทำไว้
หรือแก้ไขได้ยากเพราะคนเดิมเขียนไว้ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีเอกสารที่ชัดเจน
แต่ถ้านำ script สำเร็จรูปมาดัดแปลง คนใหม่จะสามารถทำต่อได้
ด้วยการอ้างอิงจากคู่มือของ script สำเร็จรูปตัวนั้น
Perl
Perl เป็นภาษาที่ทางบริ๊งไม่สนับสนุนให้มือสมัครเล่นเขียน
เนื่องจากเหตุผลเรื่องความปลอดภัย ที่จริงแล้ว perl
เป็นภาษาที่น่าใช้เพราะคนเขียนภาษานี้ไม่เปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกฟังก์ชันการใช้งานเดิมอย่าง
php ดังนั้น perl ที่เขียนเมื่อ 10
ปีก่อนจึงยังใช้งานได้ดีในปัจจุบันโดยไม่ต้องไปแก้ไขอะไร แต่ปัญหาสำหรับผู้ดูแลระบบคือ perl
เปิดสิทธิในการใช้งานได้เสรีมากเกินไป ทำให้สคริปของผู้ใช้ที่เขียนมาไม่รัดกุมพอ แล้วโดนเจาะขึ้นมา จะเปิดให้คนนอกเข้ามาป่วนโฮสต์
ได้โดยปราศจากข้อจำกัด ถ้าท่านต้องการเขียน perl กรุณาเขียนด้วยความระมัดระวัง อ่านเพิ่มเติม
PHP
ข้อดีของ PHP คือ มี function ต่างๆ พร้อมใช้งานจำนวนมาก
โดยผู้ใช้ไม่ต้องขอให้ผู้ดูแลระบบติดตั้ง library เพิ่มเติมเหมือน asp
และ มี script
สำเร็จรูปที่เขียนโดยบุคคลอื่นแจกให้ดาวน์โหลดฟรีจากในอินเตอร์เน็ตจำนวนมหาศาล
สถานที่ดาวน์โหลด เช่น
sourceforge.net และที่สำคัญ หากฟังก์ชั่นใดไม่มีใช้หรือไม่ถูกใจ ผู้ใช้สามารถเริ่มเขียนฟังก์ชั่นใหม่จากศูนย์ได้
ข้อเสียของ php คือ มักจะมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป
บางฟังก์ชันหรือการตั้งค่าบางอย่างถูกยกเลิกไปเมื่อเปลี่ยน version เช่น
script ที่เคยใช้กับ php4 เมื่อนำมาใช้กับ php5 จะเสีย หรือแม้แต่ sub
version ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง เช่น script ที่เคยติดตั้งได้กับ
php5.0
เมื่อนำมาใช้กับ php5.3 อาจจะเสีย นอกจากนี้ยังมีปัญหา script
ใหม่ๆที่นำมาติดตั้งแต่ php version เดิมล้าสมัยไปแล้ว
ทำให้คนเขียนโฮมเพจต้องเดือดร้อนตามแก้ไขตามการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ
แต่เนื่องจาก server script เช่น php
ยังคงจำเป็นสำหรับงานบางอย่างเช่นการกรอกแบบฟอร์มเพื่อส่งอีเมล
ดังนั้น แนะนำให้ท่านใช้ php เฉพาะเท่าที่จำเป็น
หากท่านต้องการทำโฮมเพจแล้วลืมไปเลย แนะนำให้ทำหน้าโฮมเพจแบบ static html
จะปลอดภัยที่สุด อาจจะใช้ script ที่มีการกำหนดมาตรฐานไว้แล้ว เช่น DOM
(document object model), Javascript หรือ AJAX (XMLHttpRequest) ช่วยด้วย
ก่อนเขียน PHP ท่านต้องมีคู่มือเสียก่อน ดาวน์โหลด Documentation
ฟรีได้จากเวปไซต์ www.php.net การเขียน PHP ง่ายมาก
สิ่งที่ต้องการเขียนส่วนใหญ่มีอยู่ในตัวอย่างในคู่มือ สามารถ copy
มาใช้ได้เลย
สิ่งแรกที่ควรเปิดดูคือฟังก์ชัน phpinfo() ซึ่งจะแสดงการตั้งค่าต่างๆทั้งหมดอของ
php
โดยมีอยู่ 2 ช่อง คือ Local Value และ Default Value
หากท่านต้องการแก้ไขค่าใน phpinfo สามารถทำได้ด้วยตนเองโดยใช้ฟังก์ชัน
ini_set() หรือ ตั้งค่า php_value ไว้ในไฟล์ .htaccess (ไม่แนะนำให้ใช้
ไฟล์นี้เพราะจะทำให้เวปไซต์ของท่านเรียกได้ช้าลงเนื่องจากการเรียกไฟล์ทุกๆครั้งต้องอ่าน
.htaccess ก่อน) ซึ่งทั้งสองวิธีนี้จะเปลี่ยนค่าในช่อง Local Value
โดยไม่จำเป็นต้องขอให้ทางบริ๊งแก้ไข php.ini ซึ่งแสดงไว้ในช่อง Default
Value
ค่าใน Local Value ที่ไม่อนุญาติให้ผู้ใช้แก้ไข คือ
mysql.allow_persistent เนื่องจาก persistent connection ทำให้มีการจอง
connection จนเต็มทำให้ผู้ใช้ท่านอื่นไม่มีโอกาสได้ใช้
PHP5
ท่านสามารถใช้ php4 และ php5 ในหน้าโฮมเพจเดียวกันได้ โดยเรียกดู
php5 ได้จาก http://php5.<yourdomain>
หากท่านต้องการใช้เวปไซต์เป็น php5
โปรดแจ้งบริิ๊งสตูดิโอให้ดำเนินการเปลี่ยนให้
php5 มีการเปลี่ยนแปลงดังนี้
- ปิดการตั้งค่า register_long_arrays,
magic_quotes_gpc, allow_call_time_pass_reference, register_globals,
magic_quotes_runtime, magic_quotes_sybase
เนื่องจากค่าเหล่านี้กำลังจะถูกยกเลิกใน php6
สำหรับท่านที่ยังจำเป็นต้องใช้ค่าเหล่านี้ แนะนำให้ถอยกลับไปใช้ php4
- เปิด Strict error เพื่อให้ตรงกับ php6 สำหรับท่านมีพบ error
นี้บนหน้าจอ และยังไม่มีเวลาแก้ไข script ให้ถูกต้อง ท่านสามารถปิด error
นี้ได้โดยตั้งค่าใน script ให้ขึ้นต้นด้วย error_reporting(E_ALL &
~E_NOTICE); หรือตั้งค่านี้ใน .htaccess ด้วย bit 6135
ติดตั้งโปรแกรมสำเร็จรูป
ปัจจุบันมีโปรแกรม(หรือ script) สำเร็จรูปที่เขียนจาก php แจกฟรีจำนวนมาก
ทางบริ๊งรองรับ script สำเร็จรุปทุกตัว เช่น postnuke phpNuke mambo
ฯลฯ แต่ท่านควรระวัง เนื่องจาก script สำเร็จรูปแทบทุกตัว
มีโอกาสโดนเจาะได้
บางตัวเจาะง่ายหรือสร้างปัญหาตามมา ควรหลีกเลี่ยง เช่น phpNuke, Joomla, Wordpress บางตัวเขียนมาดีเจาะยาก เช่น
phpbb, oscommerce แต่อาจถูกเจาะเล็กน้อยได้เช่นกัน ดังนั้น
ท่านควรสำรองข้อมูลเป็นระยะ วิธีสังเกตุ script ที่มีคุณภาพดี
- documentation ละเอียด document จะแยกสำหรับ script แต่ละ version
ไม่ใช่ทุก version ใช้ร่วมกัน ไม่อยู่ในรูปแบบของ wiki
ที่ใครๆเข้าไปแก้ไขได้ เนื่องจากบางคนรู้ไม่จริง ในไม่ช้า document
นั้นจึงเต็มไปด้วยความคิดเห็นที่เละเทะขาดระเบียบ เนื่องจากคนใหม่ไม่กล้าไปลบความเห็นของคนเก่าที่เขียนไว้แล้ว
document ที่ดีจะต้องมีคนกลุ่มหนึ่งดูแลเท่านั้น
- ไม่พยายามเขียนไฟล์หรือ directory ลงไปบนพื้นที่ ทำได้อย่างมากที่สุดคือ เขียนลงบนไฟล์ที่ chmod world writable ไว้แล้ว
การเขียนไฟล์ลงบนพื้นที่
การเขียนไฟล์ลงบนพื้นที่ ทำได้ 2 วิธีคือ
- ใช้ฟังก์ชัน ftp แนะนำวิธีนี้ เพื่อที่ท่านจะไม่ต้องยุ่งกับเรื่อง
permission บางไฟล์อาจต้องเขียนลงในโฟลเดอร์ชั่วคราวด้วยวิธีที่ 2
ก่อนจะส่งไปเก็บไว้ในพื้นที่
- ใช้ฟังก์ชันอื่นๆที่จัดการกับไฟล์โดยตรงเช่น fwrite()
ก่อนจะเขียนได้ ต้องเปิด Permission ของโฟลเดอร์ที่จะเขียน โดยใช้โปรแกรม
FTP เช่น ws_ftp
คลิกขวาที่ชื่อโฟลเดอร์แล้วเลือก chmod ตั้งค่าเป็น 777 หรือเลือกทั้งหมด
read/write/execute ภายใต้ owner/group/other วิธีนี้
ควรเขียนไฟล์ลงในโฟลเดอร์ย่อยเท่านั้น
ไม่สามารถเขียนลงในโฟลเดอร์หลักหรือ root directory
ซึ่งได้แก่โฟลเดอร์แรกที่เห็นใน FTP ก่อนที่จะเข้าไปยังโฟลเดอร์ย่อย มี
Address ขึ้นต้นด้วย / ซึ่งทางบริ๊งจะไม่เปิดให้เขียนไฟล์ลงใน
โฟลเดอร์หลักด้วย script เพราะโฟลเดอร์หลัก
เป็นแหล่งเก็บข้อมูลทั้งเวปไซต์ รวมไปถึงเวปไซต์หน้าแรก หาก
script มีจุดโหว่ เปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาเจาะระบบ
จะส่งผลให้้ข้อมูลทั้งเวปไซต์รวมทั้งหน้าแรกได้รับผลกระทบไปด้วย
ถึงแม้ว่าท่านจะเขียน script ด้วยตนเองหรือใช้ script
สำเร็จรูปที่รัดกุมปลอดภัย แต่ท่านก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่า script
ของท่านจะปลอดภัยไม่โดนเจาะจากภายนอก ยกตัวอย่างเช่น script upload file
ธรรมดาที่ไม่จำกัดนามสกุลของไฟล์ไว้ ก็อาจโดนเจาะได้ โดยการ upload script
php ขึ้นไปแล้วเริ่มใช้งานผ่าน script ตัวใหม่นั้น
ควรหลีกเลี่ยงการใช้ script เขียนไฟล์ลงบนพื้นที่โดยตรง
ควรเปลี่ยนมาเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลแทน เช่น MySQL เนื่องจาก
เหตุผลเรื่องความเสถียรและความปลอดภัยคือ
- ธรรมชาติของไฟล์บนคอมพิวเตอร์ สามารถอ่านพร้อมกันได้หลายคน
แต่สามารถเขียนได้ทีละคน การใช้ script เขียนลงไฟล์ธรรมดา
หากมีการเขียนพร้อมกันสองคน
ซึ่งเกิดขึ้นได้หากมีผู้เข้าชมพร้อมกัน อาจทำให้ข้อมูลหาย
โดยเฉพาะพวก counter วิธีป้องกันคือ
คนทำเวปไซต์ต้องเขียน script
ที่รัดกุม เช่น มีการ lock file ก่อนเขียน เพื่อป้องกันการเขียนทับ
แต่มีคนเขียนน้อยรายที่จะรู้รื่องนี้
ฐานข้อมูลรองรับการทำงานเหล่านี้ไว้แล้ว ผู้ใช้เพียงแต่เขียน script
เชื่อมต่อกับ server แล้วส่งคำสั่งมาตรฐานให้ server ทำงานต่อ
โดยไม่ต้องมากังวลกับส่วนที่เหลือ เช่น lock file ซึ่งเป็นหน้าที่ของ
server
- การเขียนลงไฟล์ธรรมดา ติดปัญหาเรื่อง permission คือ ต้องเปิด
permission ของไฟล์ให้ script เขียนลงไฟล์ได้
ซึ่งทำให้เกิดปัญหาเรื่องความปลอดภัยตามมาคือ script อื่น
ก็สามารถเขียนลงไฟล์นั้นได้เช่นกัน
ฐานข้อมูลแก้ไขปัญหานี้ด้วยการเปลี่ยนมาใช้ระบบ
Username/Password ส่วน permission ระหว่าง server
กับข้อมูลจะถูกกำหนดให้เหมือนกัน
- การเขียนลงไฟล์ธรรมดาช้า เพราะเป็นการเรียกโดยตรงระหว่าง script กับ
harddisk โดยปราศจากโปรแกรมช่วย โดยเฉพาะการเขียนลง text file
จะเก็บข้อมูลในรูปของ ASCII ที่ต้องถูกแปลงเป็นภาษาเครื่องก่อน
ทำให้ช้ากว่าการใช้ฐานข้อมูลซึ่งเก็บข้อมูลแบบ Binary คือภาษาเครื่องโดยตรง
- การเขียนลงไฟล์จำกัดเฉพาะไฟล์ที่อยู่ในเครื่องเดียวกัน
ไม่สามารถแยกข้อมูลไว้คนละเครื่อง หรือดึงข้อมูลผ่านเครือข่าย
สำหรับท่านที่ต้องการทำ counter แนะนำให้ดู Website Statistics ใน Control
Panel http://home.<yourdomain> จะเชื่อถือได้มากกว่า
เนื่องจากเป็นการเก็บสถิติโดยตรงจาก web server ส่วน counter
เชื่อถือได้ยาก เช่น ผู้ชมคนเดิมกลับมาเรียกเวปไซต์หน้าเดิมซ้ำ
จะถูกนับเพิ่มเป็นสอง เป็นต้น counter เหมาะสำหรับเวปไซต์สมัครเล่น
ที่ไม่มี Statistics เช่น พวกพื้นที่ฟรี
ฐานข้อมูล
ฐานข้อมูลคือ การแยกข้อมูลที่สำคัญ ออกจากข้อมูลที่ไม่สำคัญ เพราะถ้าข้อมูลปนกัน ผลการค้นหาอาจจะติดข้อมูลไม่สำคัญมาด้วย ทำให้สับสน
ฐานข้อมูลเกิดขึ้นเพราะการเขียนไฟล์ลงบนพื้นที่โดยตรงไม่สะดวกและติดปัญหาเรื่องความปลอดภัย
ฐานข้อมูล เปรียบเสมือนหนึ่งโฟลเดอร์ในเครื่องคอมพิวเตอร์ และ
หนึ่งตารางเปรียบเสมือนหนึ่งไฟล์ที่เก็บอยู่ในโฟลเดอร์นั้น
เพียงแต่มีการเปลี่ยนชื่อเรียก เพราะ
ฐานข้อมูลจะมีโปรแกรมอีกตัวหนึ่งเพิ่มเข้ามา ทำหน้าที่เป็น server
คอยรับการเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้กับไฟล์เหล่านี้ (คำว่า server
ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย
แต่หมายถึงโปรแกรมตัวหนึ่งบนคอมพิวเตอร์แม่ข่ายที่เปิด port
รอให้โปรแกรมอื่นของผู้ใช้ในอินเตอร์เน็ตเข้ามาใช้งาน)
ฐานข้อมูลมีหลายประเภท เช่น SQL, Directory ฯลฯ สำหรับ SQL
เองยังแบ่งออกได้หลายยี่ห้อ เช่น Microsoft SQL, MySQL , Oracle, Informix
ฯลฯ ทุกยี่ห้อใช้ภาษา SQL เหมือนกัน แต่มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน เช่น
บางยี่ห้อออกแบบมาให้เขียนได้เร็วเช่น Informix
ในขณะที่่บางยี่ห้อออกแบบมาให้อ่านได้เร็ว แต่เขียนได้ไม่เร็วนัก เช่น
MySQL จึงเหมาะสำหรับใช้งานบนเวปไซต์
ทางบริ๊งรองรับเฉพาะ MySQL
MySQL
ฐานข้อมูลไม่ได้สร้างขึ้นเอง และไม่สามารถสร้างได้จาก script
บนหน้าเวปไซต์ ก่อนเริ่มต้นใช้ฐานข้อมูล ต้องเข้าไปสร้างฐานข้อมูลใหม่ใน
Control Panel http://home.<yourdomain> คลิก Database คลิก Add
User แล้วตามด้วย Add
Database โดยจับคู่กับ User ที่สร้างไว้่ก่อนหน้านี้ ข้อควรระวังคือ
อย่าใช้ Username/Password ตรงกับ FTP เพราะ ถ้า script
โดนเจาะ ทำให้บุคคลภายนอกมองเห็น Username/Password ของฐานข้อมูล
เขาอาจใช้ข้อมูลที่เห็นทำการ FTP เข้ามาบนพื้นที่ของท่านได้
ส่วนของ Add Database จะมีให้เลือก Language เป็น Thai(tis620) หรือ
International(utf8) ซึ่งก็คือการเข้ารหัสภาษา(encoding) ของฐานข้อมูล
หากเลือก encoding ใดแล้ว ตาราง จนถึง column ที่สร้างต่อๆกันมา จะใช้ค่า
encoding เดียวกับฐานข้อมูล ยกเว้นมีการบังคับ encoding ใหม่
- tis620
หากท่านแสดงผลในหน้าโฮมเพจเป็นภาษาไทยและอังกฤษเท่านั้น แนะนำให้ใช้
tis620 เพื่อ script สามารถอ่านภาษาไทยจากฐานข้อมูลได้โดยตรง
ไม่ต้องแปลงข้อมูลหรือตั้งค่าภาษาเวลาติดต่อกับฐานข้อมูล
เนื่องจากที่บริ๊งตั้ง tis620 เป็นค่าเริ่มต้น
ข้อดีคือ แสดงผลภาษาไทยในหน้าโฮมเพจที่ใช้ charset TIS-620 หรือ Windows-874 ได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลง โปรแกรมทำเวปไซต์และ
browser รุ่นเก่าทุกตัวจนถึงปัจจุบันที่รองรับภาษาไทยรู้จัก
tis-620 การเรียงลำดับของภาษาไทย ถ้าเป็น tis-620
จะเรียงได้ถูกต้องตามพจนานุกรม เช่น กระถาง, โกง, ขอนไม้, เขต,
คานเหล็ก,...
- utf8
แนะนำเฉพาะกรณีที่มีการแสดงผลหลายภาษาที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษในหน้าโฮมเพจ
เช่น
มีทั้งภาษาไทยและจีนในหน้าเดียวกัน
การเก็บข้อมูลและการแสดงผลภาษาไทยจำเป็นต้องใช้ฟังก์ชัน utf8_encode และ
utf8_decode เพื่อแปลงข้อมูลให้อ่านภาษาไทยออก หรือ เปลี่ยน character
set meta tag ในหน้าโฮมเพจให้เป็น UTF-8 หรือ save file เป็น utf-8
encoding ข้อดีของ utf-8 คือมีโอกาสใช้ฟังก์ชั่นของ php ได้มากขึ้น ถึงแม้ว่า utf-8 จะเป็นภาษาแห่งอนาคต
แต่ในปัจจุบันโปรแกรมหลายตัวยังไม่รองรับดีนัก การแสดงผลภาษาไทยบน browser
บางตัวอาจเพี้ยน เช่น Seamonkey Navigator หรือ Nokia phone browser
ยังอ่าน utf-8 ไม่ออก การเรียงลำดับของภาษาไทยของ utf-8
จะเรียงตามลำดับตัวอักษร เช่น กระถาง, ขอนไม้, คานเหล็ก, เขต, โกง,...
แถมยังมีการเรียงผิดพลาดในเรื่องวรรณยุกต์ด้วย
การจัดการฐานข้อมูลที่สร้างไว้แล้ว เช่น สร้างหรือแก้ไขตาราง
คลิกที่รูปตารางใต้ View หลังชื่อ
Database ที่ต้องการใช้งาน เพื่อเปิด phpMyAdmin ขึ้นมาดูค่าต่างๆ เช่น
MySQL version หรือเรียกโดยตรงที่ http://mysql.<yourdomain>/
การตั้งค่า script เพื่อติดต่อฐานข้อมูล ให้ค่า Hostname, Username,
Password ที่สร้างไว้ ซึ่งจะปรากฎอยู่ในตารางในหน้า
http://home.<yourdomain> คลิก Database ข้อควรระวังคือ
Hostname ใช้เป็น "mysql" ไม่ใช่ "localhost"
เนื่องจากฐานข้อมูลแยกอยู่คนละเครื่องกับเครื่องที่ทำเวปไซต์
การส่งข้อมูลจากในเครื่องของท่านขึ้นไปเก็บไว้บน host ทำได้ด้วยการ dump
ข้อมูลออกมาในรูปแบบของ sql ก่อนแล้ว upload ไฟล์นี้ขึ้นไปทาง phpMyAdmin
โดยคลิกที่ชื่อฐานข้อมูลด้านซ้ายของหน้าต่าง phpMyAdmin
จะปรากฎหน้าต่างแสดง table ขึ้นทางขวามือ ให้คลิกที่ SQL แล้วกดปุ่ม
Browse หาไฟล์ข้อมูล หรือสำหรับไฟล์ sql ขนาดใหญ่มากๆ ให้ upload ผ่าน FTP
แล้วเขียน script แตกออกมา หรือแจ้งให้ทางบริ๊งช่วยแตกให้
การเรียกเวปไซต์ส่วนใหญ่เป็นการอ่าน ข้อเสียของ MySQL คือ
เขียนได้ช้า ดังนั้นการเขียน script ติดต่อฐานข้อมูลที่ดี
จึงควรระวังเรื่องการเขียนลงฐานข้อมูล หลักการออกแบบฐานข้อมูลที่ดีคือ
- หลีกเลี่ยงการเขียนลงฐานข้อมูลโดยไม่จำเป็น เพราะ
การเขียนช้ากว่าการอ่านมาก
- อย่ากระจุกข้อมูลทุกอย่างลงใน table เดียว เพราะหนึ่ง table
คือหนึ่งไฟล์ ยิ่งไฟล์ใหญ่ยิ่งอ่านได้ช้าลง การอ่านข้อมูลจากหลายๆ table
จะเร็วกว่า
ข้อควรระวังในการสร้างตารางคือ ใช้ myisam เท่านั้น อย่าใช้
innodb เนื่องจาก innodb จะเก็บข้อมูลแยกไว้ 2 แห่งคือในฐานข้อมูล
และ ใน index file ส่วนกลาง ไฟล์แยกกันหมายถึงต้องสำรองข้อมูลคนละเวลากัน
หาก innodb ของท่านถูกเขียนระหว่างสำรองข้อมูลจะทำให้ข้อมูลเสียทันที
Subdomain
โดเมนในภาษาอังกฤษ แปลว่า อาณาจักร คือ <yourdomain>
สามารถนำมาแบ่งเป็นชื่อย่อยๆ ด้วยการเติมชื่อข้างหน้า แล้วคั่นด้วยจุด
จะเรียกว่า Subdomain เช่น www.<yourdomain>
mail.<yourdomain> ฯลฯ
Subdomain ที่ขึ้นต้นด้วย www. ถูกกำหนดไว้เป็นมาตรฐานสำหรับเวปไซต์
แต่ไม่ใช่การบังคับ
ท่านสามารถเรียกเวปไซต์ที่ขึ้นต้นด้วยชื่ออื่นนอกเหนือจาก
www. ได้เช่นกัน สำหรับที่บริ๊ง Subdomain เหล่านี้ทำงานอัตโนมัติ
โดยไม่ต้องตั้งค่าใดๆเพิ่มเติม ชื่อ http://sub.<yourdomain>
จะชี้ไปที่ http://<yourdomain>/sub/ โดยโฟลเดอร์ชื่อ sub
ต้องเป็นอักษรภาษาอังกฤษและตัวเล็กทั้งหมด และมีตัวตนอยู่
หากไม่มีโฟลเดอร์นี้ ต้องเข้าไปสร้างใน FTP
subdomain บางชื่อที่สงวนไว้เป็นมาตรฐานการใช้งาน หากทดลองเรียก
http://sub.<yourdomain>
แล้วแสดงหน้าโฮมเพจที่แตกต่างจาก http://<yourdomain>/sub/
(แต่ไม่ใช้ 404 Not
Found) แสดงว่าชื่อนั้นเป็นชื่อสงวน เช่น
- http://www.<yourdomain> สำหรับเวปไซต์หน้าแรก
- http://home.<yourdomain> สำหรับตั้งค่าเวปไซต์และอีเมล
- http://mail.<yourdomain> และ http://www.mail.<yourdomain> สำหรับ Webmail
- http://mysql.<yourdomain> สำหรับ phpMyAdmin
- http://domain.<yourdomain> สำหรับแก้ไขโดเมน
- http://php4.<yourdomain> สำหรับ php version 4
- http://php5.<yourdomain> สำหรับ php version 5
- ftp.<yourdomain> สำหรับ FTP
- pop.<yourdomain>, pop3.<yourdomain> และ imap.<yourdomain> สำหรับรับอีเมลผ่านโปรแกรมในเครื่อง
- smtp.<yourdomain>
สำหรับส่งอีเมลผ่านโปรแกรมในเครื่อง
หากท่านต้องการให้ subdomain ชี้ไปที่โฟลเดอร์อื่น เช่น หน้าแรก โปรดแจ้งบริ๊งสตูดิโอ ให้ทำ symbolic link ให้
Subdomain เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง สังเกตุว่าเวปไซต์ใหญ่ๆมักจะไม่ใช้ Subdomain
แต่จะนิยมใช้ชื่อโฟลเดอร์ต่อท้ายแทน คือ
http://www.<yourdomain>/sub/ เนื่องจากเหตุผลหลายประการ เช่น
- การเรียก Subdomain
จะต้องไปเรียก dns ใหม่ทำให้ผู้เข้าชมล่าช้าหรืออาจเปิดไม่ขึ้น หาก dns
ฝั่งผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ทำงานบกพร่องในช่วงนั้นพอดี
ซึ่งเหตุการณ์นี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้บ้้างในเวลาที่อินเตอร์เน็ตไม่เสถียร
- ถ้าใช้เป็น Subdomain
แล้วย้าย host ไปใช้ที่อื่นในเวลาต่อมา แต่ host ใหม่ไม่มีให้ตั้งค่า
Subdomain จะส่งผลให้เวปไซต์ภายใต้ Subdomain หน้านั้นหายสาบสูญไป เวปไซต์ของท่านนอกจากจะมีผู้เข้าชมเวปไซต์ที่ทำ Favorite
หรือ Bookmark หน้านั้นไว้แล้ว ยังมี search engine บันทึกไว้อีก ทำให้สูญเสียผู้เข้าชมที่เข้าไปตามบันทึกเก่าแล้วไม่พบ
- search
engine จะบันทึก www.<yourdomain> กับ sub.<yourdomain>
เป็นคนละชื่อกัน การค้นหาจาก search engine แบบเจาะจงเวปไซต์
ที่เพิ่มใช้คำว่า site:www.<yourdomain> จะได้ข้อมูลจำกัด
ssl
ssl เรียกใช้งานได้อัตโนมัติโดยเติม s เข้าไปหลัง http เช่น
https://www.brinkstudio.com/ ก่อนเข้าสู่ ssl ครั้งแรกด้วย Internet
Explorer จะปรากฎหน้าต่าง Security Alert ให้กด Yes ส่วน ssl
ที่ไม่แสดงหน้าต่าง Security Alert นั้นจะต้องเสียเงินซื้อจากทางผู้ที่ขาย
ssl certificate เป็นรายปี ซึ่งมีอยู่หลายยี่ห้อ โดย certificate
ที่ซื้อมาจะใช้ได้กับหนึ่งโดเมนเท่านั้น
สำหรับท่านที่ติดต่อกับธนาคารในเมืองไทยเพื่อรับบัตรเครดิตผ่านเวปไซต์
ธนาคารอาจขอข้อมูลว่าเวปไซต์ของท่านมี ssl หรือไม่
ท่านอาจตอบว่ามีหรือไม่มีก็ได้ เพราะ การตัดบัตรเครดิตของธนาคารในเมืองไทย
ต้องทำหน้าโฮมเพจให้ redirect ไปยังหน้าโฮมเพจของธนาคารก่อน
แล้วให้ผู้ซื้อไปกรอกข้อมูลในหน้าโฮมเพจของธนาคารแทน ไม่สามารถเขียน
script ติดต่อกับ api ของธนาคารโดยตรงเหมือนในต่างประเทศ ซึ่งการใช้ api
นี้ต้องการ ssl เท่านั้นเพื่อความปลอดภัยในการส่งข้อมูล
ข้อมูลสำรอง
โฮมเพจและฐานข้อมูลจะถูกสำรองข้อมูลไว้ทุกๆคืน แบบ Incremental backup หากท่านลบหรือแก้ไขข้อมูลผิด
และต้องการกู้ข้อมูลคืน ขอให้ท่านแจ้งตำแหน่งของไฟล์และวันเวลามาให้ทางบริ๊งค้นข้อมูลสำรองให้ และ
เพื่อความสะดวก ก่อนแก้ไขข้อมูลใด ขอให้ท่านสำรองข้อมูลเก็บไว้ในเครื่องส่วนตัวของท่านด้วย
wap
โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันสามารถดูเอกสาร html ได้แล้ว
ท่านจึงไม่จำเป็นต้องเขียนหน้าโฮมเพจเพื่อรองรับ wap เหมือนในอดีต
สำหรับท่านที่สนใจจะเขียน wap ทาง host รองรับอยู่แล้ว
สามารถใช้ไฟล์นามสกุล .wml .wbmp ได้ทันที แต่แนะนำให้ท่านเขียน
script ส่ง header ออกมาเป็น wap ดีกว่าที่จะใช้ไฟล์นามสกุล .wml โดยตรง
เนื่องจากไฟล์เหล่านั้นติด cache ของ proxy
ของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือได้ง่าย การเปลี่ยนเนื้อหาแต่ละครั้ง เมื่อ
upload ขึ้นไปแล้ว ลองเรียกดูอาจจะยังไม่เห็นเนื้อหาใหม่ในทันที
Search
Engine
แหล่งค้นหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต หรือ Search Engine ในปัจจุบัน เช่น
Google, Yahoo, MSN ฯลฯ
จะใช้วิธีมาดึงเนื้อหาบนเวปไซต์ของท่าน ไปเก็บไว้ในฐานข้อมูลของเขา
เมื่อมีผู้ค้นหาคำที่ตรงกับบนเวปไซต์ของท่าน จึงจะแสดงผลเป็น link
มายังเวปไซต์ของท่าน หลังจากที่ท่านจดโดเมน และทำเวปไซต์เสร็จแล้ว
รอสักระยะหนึ่ง โดยไม่ต้องทำอะไร ซึ่งอาจใช้เวลานานนับเดือน Search Engine
จะมาค้นพบเวปไซต์ของท่านเอง ถึงแม้ว่าท่านไม่ได้ทำ link มาจากที่ใดเลย
แต่ถ้าหากท่านมีความต้องการพิเศษ เช่น จดโดเมนใหม่แล้วต้องการให้ Search
Engine ค้นพบเร็วขึ้น หรือ ต้องการเพิ่มอันดับ
ให้เวปไซต์ของท่านปรากฎบนหน้าแรกของผลการค้นหา
ท่านควรศึกษาวิธีการเพิ่มเติมจากเวปไซต์ของ
Search Engine แห่งนั้น เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดเพราะคิดไปเอง เช่น
ความเข้าใจที่ว่าการทำเวปไซต์ด้วย Meta tag จะทำให้ค้นหาได้ผลดีขึ้นนั้น
ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เพราะ Search
Engine ในปัจจุบันไม่มีการใช้ Meta tag เหมือน Search Engine สมัยก่อน
อีเมล
อีเมล่ถูกออกแบบมาให้เป็นการสื่อสารที่ไม่จำกัดเวลา เช่น
เมื่อเครือข่ายขัดข้อง อีเมลจะพยายามส่งใหม่เป็นระยะจนกว่าจะสำเร็จ
ด้วยเหตุนี้ อีเมลจึงเหมาะสำหรับเป็นทางเลือกหนึ่งในการติดต่อสื่อสารที่ไม่เร่งด่วน
และ
ใช้สำรองข้อมูล
สำหรับผู้ที่ต้องการติดต่อด้วยความรวดเร็วทันใจ ควรใช้วิธีอื่น
ควบคู่ไปด้วย เช่น โทรศัพท์, Instant Messaging หรือแฟกซ์
สร้างและแก้ไขผู้ใช้
สร้างและแก้ไขชื่ออีเมลภายใต้ชื่อโดเมน you@<yourdomain>
เข้าไปที่ Control Panel
http://home.<yourdomain> แล้วคลิกที่ Email
- 1 User แทน 1 คน หากต้องการสร้างอีเมลชื่อใหม่พร้อมพื้นที่เก็บ
พิมพ์ชื่อนำหน้าอีเมลที่ต้องการหน้าช่อง Create Mailbox แล้วคลิกปุ่ม พอถึงหน้าถัดไปใส่ Password และ Disk Quota
คือขนาดของพื้นที่เก็บ ควรให้พื้นที่แต่ละ User อย่างต่ำคนละ 10MB
ยิ่งพื้นที่มากยิ่งดี
เพื่อที่จะป้องกันปัญหาเรื่องพื้นที่เต็มบ่อย
โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดติดต่อกันที่ไม่ได้เช็คอีเมลเป็นเวลาหลายวัน และ
ระหว่างใช้งานควรมีพื้นที่เหลืออย่างน้อย 50%
- 1 Email Address อาจส่งต่อไปให้หลายคน หรือ 1 คนอาจมีหลาย Email
Address สร้างชื่ออีเมลใหม่ ไม่ต้องสร้างพื้นที่เพิ่ม คลิก Create Email
ตั้งค่าให้ส่งต่ออีเมลไปยังพื้นที่ของผู้ใช้ที่มีอยู่แล้ว
หลักการตั้งชื่อนำหน้าอีเมลคือ ควรจะมีแค่ตัวอักษร a-z เท่านั้น
มีขีดกลางได้ แต่ไม่ควรมีจุดหรือขีดล่าง เพราะเวลาที่ส่งไปให้ใคร อาจมี
link ขีดเส้นใต้ทับไปทำให้ดูยาก และ ไม่ควรมีตัวเลข เพราะ
เวลาเขียนใส่เศษกระดาษให้ใคร เขาอาจจะสับสนระหว่างตัวอักษร z กับเลข 2
หรือตัวอักษร o กับตัวเลข 0
การรับส่งอีเมล
ทำได้ 2 วิธีคือ
- Webmail เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ทดลองใช้อีเมลเป็นครั้งแรก หรือ
ผู้ที่ต้องเดินทางและใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นเพื่ออ่านอีเมล
- โปรแกรมอีเมล เหมาะสำหรับใช้งานในชีวิตประจำวัน
โปรแกรมในเครื่องคอมพิวเตอร์เช่น Outlook Express
หรือ โปรแกรมในอุปกรณ์อื่นๆ เช่น Pocket PC, โทรศัพท์มือถือ
Webmail
วิธีใช้ Webmail คือ เปิด
Browser แล้วพิมพ์ในช่อง Address ว่า
http://mail.<yourdomain>
Webmail ข้อดีคือ ความง่ายในการใช้งาน ที่ใช้เพียง Browser ธรรมดา เช่น
Mozilla หรือ
Internet Explorer(ไม่แนะนำให้ใช้โปรแกรมนี้
เนื่องจากมีจุดโหว่มาก เสี่ยงต่อการติด worm หรือ spyware ได้ง่าย)
ข้อเสียของ Webmail คือไม่เหมาะสำหรับนำมาใช้งานในชีวิตประจำวัน เนื่องจาก
ความไม่สะดวก คือก่อนเริ่มต้นใช้งานต้องพิมพ์ Username และ Password
ก่อนเข้าใช้งานทุกครั้ง และ
ข้อจำกัดของ
Browser คือ Browser ไม่รองรับไฟล์ขนาดใหญ่ และ ข้อจำกัดของสภาพแวดล้อมของ
http เช่น การเรียก http นั้นต้องผ่าน Proxy
ของผู้ให้บริการอินเตอรเน็ตที่ใช้ ซึ่งบางแห่งอาจตั้งค่าผิดมาตรฐาน หรือ
ซอท์แวร์ทำงานบกพร่อง ทำให้การแสดงผลผิดเพี้ยน
สำหรับผู้ที่ใช้งานในชีวิตประจำวัน แนะนำให้ใช้โปรแกรมอีเมลในเครื่อง
ไม่มีการจำกัดขนาดอีเมลขาเข้า แต่สำหรับการส่งเมล์ออกด้วย Webmail
จะมีการจำกัดขนาดของเอกสารแนบ
ขนาดใหญ่ที่สุดที่สามารถส่งออกไปได้ โดยแสดงอยู่ในบรรทัดถัดไปจากปุ่ม
Browse ในหน้า Compose
เนื่องจากอีเมลไม่ได้ออกแบบไว้ให้ใช้ส่งเอกสารขนาดใหญ่
หากต้องการส่งเอกสารขนาดใหญ่ไปให้ผู้อื่น ควรเลี่ยงไปใช้วิธีอื่น เช่น
Instant Messaging หรือ upload ขึ้นไปเก็บไว้บนเวปไซต์แทน หากเลี่ยงไม่ได้
อาจต้องใช้วิธี zip หรือแบ่งเอกสารออกเป็นขนาดเล็กๆ
โปรแกรมอีเมล
สำหรับท่านที่ใช้อีเมลอยู่เป็นประจำ คงจะไม่สะดวกที่จะใช้ Webmail
ซึ่งต้องพิมพ์ Username และ Password ทุกครั้งก่อนเข้าใช้งาน นอกจากนี้
Webmail ยังถูกควบคุมโดยกลไกหลายตัวที่อาจผิดพลาดได้ เช่น
ข้อมูลเก่าในเครื่องของตนเอง
หรือ ใน proxy
ของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต
คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือในปัจจุบัน
มีโปรแกรมที่ใช้สำหรับรับส่งอีเมลโดยเฉพาะ ข้อดีคือ
เมื่อเปิดโปรแกรมขึ้นมาแล้ว โปรแกรมจะทำงานอัตโนมัติทั้งหมด
ตั้งแต่เข้าสู่ระบบ จนถึงดึงอีเมลมาเก็บไว้ในเครื่อง อ่านได้ทันที
สำหรับการใช้งานที่เน้นประสิทธิภาพแล้ว
โปรแกรมในเครื่องจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เช่น โปรแกรมในเครื่อง
อ่านภาษาและเอกสารแนบได้ดีกว่า webmail
โปรแกรมในเครื่องแยกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ทำงานบน
- คอมพิวเตอร์ เช่น Mozilla Mail หรือ Outlook Express
โปรแกรมแต่ละตัวมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน
- อุปกรณ์สื่อสารอื่นๆ เช่น โทรศัพท์มือถือรุ่นที่มีโปรแกรมอีเมล,
PocketPC
การส่งอีเมลออกจากโปรแกรม มีข้อจำกัด สองข้อคือ
ต้องรับเมล์ก่อนจึงจะสามารถส่งออกได้ และ
เปิดให้ส่งจากอีเมลภายใต้ชื่อโดเมนของท่านเท่านั้น
การใช้งานผ่านโปรแกรมในเครื่อง จำกัดขนาดของอีเมลขาเข้าและขาออกอยู่ที่
150MB (ซึ่งหมายถึงท่านจะแนบไฟล์ได้ไม่เกิน 100MB
เพราะอีเมลจะต้องแปลงไฟล์แนบให้เป็นตัวอักษรซึ่งจะขยายขนาดไฟล์ขึ้นอีกประมาณ
1.5 เท่า) มาตรฐานอีเมล ไม่ได้ออกแบบไว้ให้ใช้ส่งไฟล์ขนาดใหญ่
ถึงแม้ว่าจะเปิดให้ท่านส่งไฟล์ขนาดใหญ่กว่านี้
แต่ปลายทางหลังแห่งยังคงจำกัดขนาดไฟล์ขนาดใหญ่ที่รับได้
ทำให้อีเมลที่ท่านส่่งไปถูกตีกลับ
หากท่านต้องการส่งเอกสารขนาดใหญ่ไปให้ผู้อื่น ควรเลี่ยงไปใช้วิธีอื่น
เช่น
Instant Messaging หรือ upload ขึ้นไปเก็บไว้บนเวปไซต์แทน
Over Quota
เมื่อพื้นที่เต็ม อีเมลที่ส่งมาจากภายนอก จะไม่ตีกลับทันที
แต่จะรออยู่ที่เครื่องแม่ข่ายต้นทางจนกระทั่งท่านกลับมาจัดการพื้นที่ให้ว่าง อีเมลที่รออยู่จะเริ่มทยอยเข้ามา
ระยะเวลาการรอนี้ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าของเครื่องแม่ข่ายต้นทางแต่ละแห่ง
ตามปกติจะรอได้ประมาณ 4-7 วัน
แต่บางแห่งอาจตั้งค่าผิดมาตรฐานรอได้เพียงไม่กี่นาที
ส่งผลให้อีเมลตีกลับทันที
การลบเมล์จาก Webmail ถ้าพื้นที่ยังไม่เต็ม ยังไม่ Over Quota
อีเมลที่ถูกลบจะถูกย้ายไปเก็บไว้ใน Trash ซึ่งไม่มีผลทำให้พื้นที่รวมลดลง
แต่ถ้าพื้นที่เต็ม อีเมลที่ถูกลบจะหายไปเลย
พื้นที่ที่ใช้ไปจะลดลงเรื่อยๆจนกระทั่งเหลือน้อยกว่า Quota
แล้วอีเมลที่ถูกลบหลังจากนั้นจึงจะถูกย้ายไปเก็บใน Trash
ไวรัส
อีเมลที่เข้ามาใหม่ทุกฉบับจะถูกตรวจสอบกับฐานข้อมูลไวรัสโดยอัตโนมัติ
และถ้าหากพบว่ามีไวรัสแนบมาด้วย อีเมลฉบับนั้นจะถูกลบทิ้ง
ไม่ได้รับอนุญาติให้ผ่านเข้าไปถึงผู้รับ ฐานข้อมูลไวรัสจะทำการ update
ตนเองอัตโนมัติอยู่ตลอดเวลา แต่อาจเป็นไปได้ที่ไวรัสตัวใหม่ยังไม่ถูกพบ
ส่งเข้ามาถึงผู้รับก่อน
ผู้รับจึงควรระวังอย่าเปิดไฟล์นามสกุลประหลาดเช่น .exe .bat
ที่แนบมากับอีเมล และหากไม่แน่ใจควรส่งต่อให้แก่ผู้ดูระบบตรวจสอบ
เมล์ขยะ
เมล์ขยะคืออีเมลจากคนที่ไม่รู้จัก ส่วนใหญ่จะส่งมาเพื่อขายสินค้า
การที่ติดต่อทางอีเมลภายในกลุ่มคนรู้จักที่ติดต่อกันอยู่เป็นประจำ
ไม่มีโอกาสได้รับเมล์ขยะ แต่เมล์ขยะ เกิดจาก
- ชื่ออีเมลถูกเปิดเผยสู่ที่สาธารณะ เช่น นำไปลงประกาศในเวปบอร์ด
หรือ บนเวปไซต์ของท่านเอง ในที่สาธารณะจะมีพวกนักส่งเมล์ขยะ
พยายามค้นหาชื่ออีเมลของจาก search engine
- ท่านนำอีเมลไปสมัครใช้บริการตามที่ต่างๆ
ซึ่งบางแห่งจะนำอีเมลของท่านไปขายต่อให้กับนักส่งเมล์ขยะ
- อีเมลของท่านที่ส่งไปให้เพื่อน ถูกส่งต่อไปเรื่อยๆ
จนถึงมือของนักส่งเมล์ขยะ
เมื่อนักส่งเมล์ขยะพบอีเมลของท่านเข้าแล้ว
เขาจะบันทึกอีเมลของท่านไว้ในฐานข้อมูลของเขา
แล้วส่งเมล์ขยะมาให้ในเวลาต่อมา
ข้อดีของเมล์ขยะคือ ช่วยให้ท่านทราบว่าอีเมลยังใช้งานได้ปกติ
แต่ข้อเสียคือ ถ้ามีมากจนเกินไป เช่น วันละหลายๆฉบัับ
จะทำให้ท่านต้องเสียเวลาลบ อาจลบผิด ไปลบอีเมลที่ส่งมาจากคนรู้จักด้วย
เมื่อท่านได้รับเมล์ขยะแล้ว ไม่มีทางป้องกันใดๆที่ได้ผล 100% ยิ่งป้องกัน
ยิ่งมีโอกาสผิดพลาดเกิดขึ้นกับอีเมลที่ส่งมาจากผู้บริสุทธิ์ด้วย
เนื่องจากผู้ดูแลระบบปลายทางบางแห่งตั้งค่าไม่ได้มาตรฐาน
ทำให้ระบบอีเมลของเขาทำงานคล้ายกับพวกส่งเมล์ขยะนั่นเอง
การบล็อกชื่ออีเมลไม่ได้ผล
เพราะเมล์ขยะจะเปลี่ยนชื่ออีเมลของผู้ส่งไปเรื่อยๆ
และถึงแม้ว่าจะลบอีเมลชื่อที่ได้รับเมล์ขยะทิ้งไปนานเท่าใดก็ตาม
แต่นักส่งเมล์ขยะจะไม่ลบชื่ออีเมลชื่อนั้นออกจากฐานข้อมูลของพวกเขา
หากเปิดใช้อีเมลชื่อนั้นใหม่ ก็จะมีเมล์ขยะเข้ามาใหม่
วิธีเดียวที่จะป้องกันเมล์ขยะได้ผลคือ การแก้ไขที่ต้นเหตุ
- หากจำเป็นต้องลงประกาศในที่สาธารณะ ควรใส่เฉพาะ เบอร์โทรศัพท์ หรือ
ที่อยู่บนเวปไซต์ที่มีหน้าแบบฟอร์มให้กรอกข้อมูลแทน
หากจำเป็นต้องใส่อีเมลลงไปในเวปไซต์ ให้พิมพ์ชื่ออีเมลลงในรูปภาพ
เพื่อป้องกันไม่ให้โปรแกรมค้นหาอีเมลของนักส่งเมล์ขยะอ่านออก
และถึงแม้ว่าจะเป็นรูปภาพ แต่อย่านำไปลงประกาศตามเวปบอร์ดต่างๆ
เพราะยังมีบางคนที่อ่านอีเมลด้วยตา แล้วจดบันทึกไว้
- หากจำเป็นต้องนำชื่ออีเมลไปสมัครใช้บริการตามที่ต่างๆ หรือ
เสี่ยงต่อการถูกส่งต่อไปให้คนที่ไม่รู้จัก
ควรสร้างชื่ออีเมลชื่อใหม่ สำหรับแต่ละที่ที่ติดต่อด้วย
หากมีเมล์ขยะส่งมายังอีเมลชื่อนี้ จะสามารถลบชื่อนี้ทิ้งได้ทันที
โดยไม่กระทบกับชื่ออีเมลอื่นที่ติดต่อกันอยู่
บริ๊งสตูดิโอ ช่วยป้องกันเมล์ขยะที่ส่งมาจากมือสมัครเล่น
ได้เพียงส่วนหนึ่งซึ่งมีจำนวน 80-90% ของเมล์ขยะทั้งหมด
ส่วนที่เหลือคือนักส่งเมล์ขยะมืออาชีพ ที่ป้องกันได้ยาก
สำหรับท่านที่ได้รับเมล์ขยะ เกิดจากอีเมลของท่าน
ตกไปอยู่ในมือของนักส่งเมล์ขยะมืออาชีพ
แนะนำให้ใช้โปรแกรมรับส่งอีเมล ที่มีคัดแยกเมล์ขยะแบบ Machine Learning
เช่น Mozilla
Thunderbird โดยสอนโปรแกรมให้รู้ว่าอีเมลฉบับใดเป็นเมล์ขยะ ฉบับใดไม่ใช่
หลังจากนั้นโปรแกรมจะเริ่มเรียนรู้และคัดแยกด้วยตนเองจากประสบการณ์ที่เคยถูกสอนไว้
สำหรับผู้ใช้โปรแกรมที่ไม่มีระบบนี้ เช่น Outlook Express
ให้ติดตั้งโปรแกรมแยกต่่างหากเช่น POPFile, SpamPal, Spambayes(Outlook
plug-in สำหรับ Microsoft Outlook เท่านั้น ไม่ใช่ Outlook Express)
Signature
การส่งข้อความแนบท้าย เช่น เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์
ไปกับอีเมลที่ส่งใหม่ทุกฉบับ ข้อความแนบท้ายนี้ สามารถบันทึกไว้ใน
Signature ช่วยให้ไม่จำเป็นต้องพิมพ์ใหม่ทุกครั้งที่ส่ง